ความจริงของมนุษย์หลายๆอย่างจะไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา อาทิ สิ่งที่ผู้คนทั่วไปชอบ สิ่งที่ผู้คนทั่วไปไม่ชอบ สิ่งที่ผู้คนทั่วไปให้คุณค่า สิ่งที่ผู้คนทั่วไปต้องการ และอย่างอื่นอีกมากมาย แต่วิธีการตั้งกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการนั้นมีความยากและซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจในเป้าหมายเหล่านี้อย่างละเอียดเจาะลึก เพื่อที่แบรนด์และสถาบันจะสามารถมอบบริการให้พวกเขาได้ดียี่งขึ้น
ผู้นำธุรกิจในปัจจุบันต้องเจอกับการตัดสินใจอย่างไม่จบสิ้น ทั้งในเรื่องของเป้าหมายทางการตลาด ราคา โปรโมชั่น ช่องทางการขาย และคุณสมบัติและประโยชน์ของสินค้า หากไม่มีความรู้ที่เหมาะสม จะเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะทำการตัดสินใจและนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บริการ และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อการตัดสินใจในเรื่องที่มีความพิเศษเฉพาะเจาะจงและต้องใช้องค์ประกอบหลายสิ่งเข้าร่วมพิจารณา เราสามารถค้นหาการวิจัยทางการตลาด และระเบียบวิธีกลยุทธ์ที่ออกแบบมา เพื่อการเก็บรวบรวมและประยุกต์ใช้งานข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยเหล่านี้ เพื่อนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจได้
หนังสือออนไลน์ฟรี : เทรนด์การวิจัยการตลาดโลกปี 2022
การวิจัยการตลาดคืออะไร
การวิจัยการตลาดคือ กระบวนการในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความต้องการและความชอบของตลาด ซึ่งจะส่งผลต่อทุกภาคส่วนในธุรกิจ ทั้งแบรนด์สินค้าการบริการลูกค้า การตลาด และการขาย เมื่อเข้าใจถึงความรู้สึกและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายของคุณ คุณจะสามารถเริ่มดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการ และลดความเสี่ยงในช่องว่างทางประสบการณ์ ซึ่งคือสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายของคุณคาดหวังว่าคุณจะมอบให้แก่พวกเขากับสิ่งที่คุณสามารถมอบให้กับพวกเขาได้จริง
การวิจัยกรตลาดช่วยให้นักการตลาดโดดเด่นได้โดยช่วยพวกเขาหลีกเลี่ยงความผิดพลาด มีการอับเดท และคาดเดาความต้องการของลูกค้าได้ มันเป็นหน้าที่ของนักการตลาดที่จะเลือกใช้งานวิจัยเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ดีที่สุด จากนั้น พวกเขาต้องปรับ ประยุกต์ใช้คำตอบที่ได้ และนำไปสู่ตลาดอย่างประสบความสำเร็จ
การวิจัยการตลาดมักจะมุ่งเน้นทำความเข้าใจเรื่อง
- ลูกค้า (ผู้ซื้อ, ผู้บริโภค, อินฟลูเอ็นเซอร์)
- บริษัท (การออกแบบผลิตภัณฑ์, โปรโมชั่น, ราคา, ตำแหน่ง, การบริการ, การขาย)
- คู่แข่ง (และวิธีการตอบโต้ของบทบาทการตลาดในสภาพแวดล้อมของตลาด)
โดยธรรมเนียมแล้ว จะมีกลุ่มคนที่ทำการวิจัยได้ดีมาก และพึ่งธุรกิจในการใช้ความสามารถของพวกเขา สิ่งนี้จึงเป็นบางเคสที่เกี่ยวข้องกับทุน เนื่องด้วยการนำจากแบรนด์โดยใช้สรรมภาพ ผู้เชี่ยวชาญ และเงินทุนของพวกเขา แต่ถึงกระนั้น การใช้วิธีการนี้ หมายถึงแบรนด์จะมีอุปสรรคในการติดตามจังหวะการเปลี่ยนแปลง และลูกค้าจะเป็นผู้เสียหาย เพราะความต้องการทั้งหมดของลูกค้านั้นไม่ถูกจัดหาให้ในเวลา ณ ปัจจุบันของการวิจัยการตลาด
- ใครคือลูกค้า และต้องทำการแบ่งกลุ่มและจัดลำดับความสำคัญเขาเหล่านั้นอย่างไร
- ลูกค้ามองหาสิ่งใดในหมวดหมู่ของฉัน
- ลูกค้าซื้อในราคาเท่าไร สิ่งใดคือตัวกระตุ้น อุปสรรค และพฤติกรรมในการซื้อ
- การตลาดและการสื่อสารของฉันจะส่งผลขยายหรือไม่
- สุขภาพแบรนด์ของฉันดีหรือไม่
- คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ใดที่สำคัญที่สุด
- ผลิตภัณฑ์ของฉันพร้อมที่จะเปิดจำหน่ายหรือไม่
- ราคาและแผนบรรจุภัณฑ์ของฉันมีประสิทธิภาพหรือไม่
คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องการคำตอบ แต่คำตอบเหล่านี้จะถูกพบได้จากกระบวนการการเก็บรวบรวมข้อมูลที่สุดหิน ใช้เวลามหาศาล และมีราคาแพง ดังนั้นความท้าทายที่ยากที่สุดคือ การหาจุดเริ่มต้น และการที่อุปสงค์ระยะสั้นกลืนกินการลงทุนระยะยาว
ยุคเฟื่องฟูของการวิจัยการตลาด
ในปัจจุบัน เมื่อว่าอุตสาหกรรมจะก้าวล้ำไปไกลมากด้วยแรงขับเคลื่อนของวงจรของผลิตภัณฑ์ที่หมุนเวียนไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยิ่งทำให้การแข่งขันและและกฎเกณฑ์ข้อบังคับทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจโดยมีแรงขับเคลื่อนเป็นข้อมูลนั้นสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ด้วยการกำเนิดของความง่ายอย่างเครื่องมือที่ง่ายต่อการใช้งาน การวิจัยการตลาดถูกมองเป็นเรื่องสำคัญ น้อยคนที่จะไม่ใช้ข้อมูลนี้ในการประกอบการตัดสินใจ ด้วยความเข้าถึงที่ง่ายอย่างซอฟท์แวร์ ผู้คนทั่วไปสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ไม่ว่าจะมีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหนก็ตาม
มันเป็นไปได้ด้วยหรือ ?
ศิลปะของการวิจัยไม่ได้หายไปไหน การวิจัยยังเป็นงานที่ซับซ้อน และจำนวนข้อมูลที่ต้องวิเคราะห์ก็ยังมีจำนวนมหาศาลอยู่ แต่ด้วยการเลือกใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง อย่าง Qualtrics Research Services งานวิจัยที่ซับซ้อนจะกลายเป็นเรื่องง่ายไปในทันที เพื่อที่คุณจะได้มุ่งสนใจไปในสิ่งที่สำคัญกว่า
หากคุณไม่สันทัดในการวิจัยการตลาด ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่คุณจะเริ่มต้น
การวิจัยการตลาดสำคัญอย่างไร?
แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดจะพึ่งการใช้ข้อมูลเพื่อรวบรวมและประเมิญกลยุทธ์และการตัดสินใจของพวกเขา จากการแบ่งส่วนตลาด ไปจนถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาพัฒนา
การเกิดขึ้นของเครื่องมือและคู่พันธมิตร ทำให้แบรนด์มีความสามาถที่จะควบคุมการศึกษางานวิจัยและการใช้ข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งจะเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินการ ด้วยกำหนดเวลาที่ลดลง จึงทำให้แบรนด์สามารถตอบสนองต่อเงื่อนไขของธุรกิจและปรับใช้วิธีการได้อย่างกระฉับกระเฉง คู่พันธมิตรมีบทบาทสำคัญในการหยิบยื่นการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญอื่นเพิ่มเติม ช่วยคุณในการหาผู้ตอบแบบสอบถาม ลงพื้นที่สอบถามและรายงานผลที่ได้
หากไม่มีงานวิจัย การตัดสินใจทางธุรกิจจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของฐานลูกค้าเดิม ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือการตัดสินใจตามสัญชาตญาณ จุดประสงค์ของการวิจัยการตลาดคือ การยกความคิดเห็นที่ไม่เป็นกลางออกจากการพิจารณาเพื่อตัดสินใจทางธุรกิจ คุณอาจจะนึกถึงประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า “ฉันชอบแต่ฉันก็ไม่ชอบ” ซึ่งถูกใช้ในการพิจารณาไอเดียแคมเปญหรือคุณสมบัติใหม่ เว้นแต่ว่าคุณไม่ใช่ผู้บริโภค ในฐานะของแบรนด์ คุณมีหน้าที่ในการบริการลูกค้า คุณมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ หากคุณสร้างความแตกต่างอย่างสม่ำเสมอ และการวิจัยการตลาดจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า การตัดสินใจของคุณมีข้อมูลเชิงลึกเป็นตัวชี้วัด
ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพียงเพราะจุดเด่นที่เคยเป็นที่นิยมจากผลิตภัณฑ์ตัวก่อน คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจุดเด่นนี้จะนำมาใช้ได้ในผลิตภัณฑ์ตัวถัดไป และคุณมีวิธีการที่จะยกระดับผลิตภัณฑ์อย่างไร หากคุณไม่สอบถามผู้ใช้งาน การขาดข้อมูลและเนื้อหาอ้างอิงส่งผลย้อนกลับ และเป็นจุดที่ทำให้เกิดความผิดพลาดและเสียโอกาสดีๆ
การดำเนินงานวิจัยการตลาดจะให้คุณได้ใช้ข้อมูลเพื่อตอบคำถามเบื้องต้นที่ได้กล่าวไป ด้วยการระบุและเก็บรวบรวมความคิดเห็นตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ คุณจะสามารถเข้าใจความรู้สึกที่พวกเขามีต่อสินค้าและบริการของคุณ แบรนด์ของคุณ และการสื่อสารของคุณ ก่อนที่คุณจะลงไปเป็นผู้เล่นในตลาด
และคุณสามารถดำเนินการตามนี้ได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณมีโอกาสสูงกว่าในการประสบความสำเร็จ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ผลลัพธ์ของการวิจัยการตลาดที่ดี
นักวิจัยการตลาดมักจัดการทำวิจัยสำรวจโดยใช้ตัวอย่างและสถิติ ประเภทการสำรวจที่แตกต่างมักจะเน้นไปยังเรื่องที่เฉพาะเจาะจง และมักเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาของแนวคิดแบบจำลองที่คาดเดาหรืออธิบายพฤติกรรมเฉพาะเจาะจงนั้นๆ
งานวิจัยที่ดีจะอธิบายผลลัพท์ 4 ประการ
- ชัดเจน ความสัมพันธ์และการตอบสนองถูกอธิบายโดยเรียบง่าย
- มีความเป็นกลาง นำเสนอเนื้อหาโดยไม่มีอคติ
- การสื่อสาร ช่วยสมาชิกในกลุ่มเข้าใจถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหา
- การปรับปรุง กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านข้อมูลเชิงลึก
วิธีวัดความสำเร็จ
ความสำเร็จถูกตีความเป็นวิธีการที่คุณบรรลุเป้าหมาย ข้อมูลเชิงลึกที่ถูกรวบรวมจากการวิจัยการตลาดจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น ทุกแผนกจะมีวัตถุประสงค์ของตนเองที่จะทำควบคู่ไปกับกลยุทธ์ของบริษัท ดังนั้น สรรหาข้อมูลจากงานวิจัยการตลาดที่จะช่วยให้คุณบรรลุจุดประสงค์เหล่านั้นของคุณ ในขณะเดียวกัน อย่าลืมคำนึงถึงภาพรวมด้วย ข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์กับองค์กรทั้งหมด ดังนั้นให้ทุกทีมร่วมมือกันและแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกที่คุณได้รวบรวมมา
ไม่ว่าคุณจะทำงานอยู่ในตำแหน่งใด การเข้าใจผู้บริโภคเป็นเป้าหมายของการวิจัยการตลาด เราจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการ เพื่อจะให้บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ หากเราสามารถทำได้ เราก็จะมีแนวโน้มที่กระตุ้นความพึงพอใจของลูกค้า และเพิ่มการรักษาลูกค้า
หนังสือออนไลน์ฟรี : เทรนด์การวิจัยการตลาดโลกปี 2022
การวิจัยการตลาดจะใช้เมื่อไร
คุณสามารถใช้การวิจัยการตลาดได้กับทุกอย่าง หากคุณต้องการรู้บางเรื่องจากปลุ่มเป้าหมายของคุณ คำตอบของมีแนวโน้มที่จะอยู่ในการวิจัยการตลาด
ต่อไปนี้คือตัวอย่างของการใช้การวิจัยการตลาดที่เป็นที่นิยม
การพัฒนาผลิตภัณฑ์
ความลับของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมนั้น คือการวิจัยและการทดลอง
การทำวิจัยการตลาดเพื่อหากลุ่มคนในผู้บริโภคและให้ตอบรับกับผลิตภัณฑ์ของคุณ จากวิธีการใช้งานไปจนถึงสิ่งที่พวกเขาชอบและไม่ชอบ เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน การประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณตั้งแต่เนิ่นๆจะช่วยให้คุณเน้นไปยังทรัพยากรและไอเดียที่มีความเป็นไปได้สูงสุด
โยเกิร์ตซอง Chobani เป็นสินค้าที่ถูกเพิ่มประสิทธิภาพมาจากการทำการวิจัยการตลาด ด้วยการทดลองแนวคิดผลิตภัณฑ์ Chobani พบว่าบรรจุภัณฑ์สามารถสร้างผลกระทบเชิงลบให้แก่การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค จากข้อมูลเชิงลึกนี้ แบรนด์ได้ทำการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริโภคมีความพึงพอใจ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนตัวผลิตภัณฑ์เพื่อความต้องการและความชอบของลูกค้า ซึ่งช่วยให้ Chobani เพิ่มส่วนแบ่งตลาดและกลายมาเป็นแบรนด์โยเกิร์ตอันดับหนึ่งของออสเตรเลีย
แต่ผลิตภัณฑ์ที่เยี่ยมยอดก็ไม่มีค่า หากไม่มีผู้ใดซื้อ
การวิจัยการตลาดทำให้ธุรกิจได้รับข้อมูลเชิงลึก เพื่อชี้แนะการตัดสินใจเรื่องราคาด้วยเช่นกัน หนึ่งในเครื่องมือทรงพลังเพื่อนักวิจัยการตลาดที่มีอยู่ คือ Conjoint Analysis ซึ่งใช้แบบจำลองทางเลือกเพื่อช่วยให้แบรนด์ระบุแพ็คเกจและราคาที่เหมาะสมกับลูกค้า
แพลทฟอร์มอย่าง Qualtrics ช่วยให้ธุรกิจจับความสำคัญของข้อมูลการวิจัยการตลาด อย่าง conjoint analysis และดำเนินการวิเคราะห์ในทันทีเพื่อรับรองความสำเร็จ
การวัดผลการสร้างแบรนด์
แบรนด์ของคุณคือทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของคุณ แต่ไม่เหมือนระบบอื่นๆอย่างยอดขาย มันไม่ใช่หน่วยวัดที่คุณจะจับต้องและดึงข้อมูลออกมาจากระบบได้ การวิจัยการตลาดทั่วไปที่ติดตามมุมมองที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ของคุณ จะช่วยให้คุณตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์แบรนด์ของคุณในทันที จากนั้นก็ตอยสนองต่อความคิดเห็นของลูกค้า เพื่อช่วยสานต่อหรือสร้างแบรนด์ของคุณด้วยกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ทีมการตลาดที่ดีที่สุดจะมองข้อมูลการรับรู้และประสิทธิภาพจากกระดานการวิจัยการตลาดเพียงกระดานเดียว เพื่อให้มองสัญญาณสำคัญแบรนด์จากจุดหนึ่งเติบโตด้วยความรวดเร็วไปยังจุดที่คุณปลดล็อคข้อมูลเชิงลึกนั้น ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบการแข่งขันที่สำคัญของตลาดในปัจจุบันนี้
การแบ่งกลุ่มผู้ซื้อและการวิเคราะห์ลักษณะบุคคล
กลุ่มผู้ซื้อช่วยคุณพัฒนาผลิตภัณฑ์และการสื่อสารที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณที่แตกต่างกันออกไป การทำความเข้าใจผู้ซื้อของคุณและผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นลูกค้า รวมถึงแรงจูงใจ ความต้องการ และจุดอ่อนของธุรกิจ คุณจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในทุกเรื่อง จากการสื่อสารทางการตลาด ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ของคุณ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อความที่เหมาะสม ถูกส่งไปยังผู้รับที่เหมาะสม ณ เวลาที่เหมาะสม ผ่านช่องทางที่เหมาะสม
การทดสอบโฆษณาและการสื่อสาร
แคมเปญโฆษณาหลายๆชิ้นมีราคาค่อนข้าง และหากไม่ได้ทำการทดลอง ก็มีความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลให้ล้มเหลวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ด้วยการทดสอบแคมเปญ ไม่ว่าข้อความนั้นจะมีความสร้างสรรค์มากน้อยเพียงใด คุณก็จะสามารถทำความเข้าใจว่าผู้บริโภคมีการตอบรับต่อการสื่อสารของคุณอย่างไร ก่อนที่คุณจะปล่อยแคมเปญนั้น เพื่อที่คุณจะสามารถปรับเปลี่ยนตามผลตอบรับที่ผู้บริโภคมีให้กับคุณ
Finder, หนึ่งในเว็บไซต์เปรียบเทียบที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เป็นตัวอย่างที่ของแบรนด์ที่ใช้การวิจัยการตลาดเพื่อแปลผลวิเคราะห์ให้แก่ธุรกิจ จากการวิจัยการตลาด ธุรกิจเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ 23% เพิ่ม NPS ถึง 8 จุด และทำกำไรได้เป็นประวัติการณ์
การวิเคราะห์คู่แข่ง
อีกหนึ่งส่วนที่สำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการสื่อสารที่เหมาะสม คือการเข้าใจคู่แข่งของคุณ และมุมมองที่ผู้บริโภคมีต่อพวกเขา คุณอาจจะเข้าไปยังเว็บไซต์ของคู่แข่งและลองผลิตภัณฑ์ของพวกเขาได้ แต่หากคุณไม่รู้ว่าผู้บริโภคมองคู่แข่งของคุณอย่างไร คุณจะไม่ได้รับมุมมองที่ตรงกับผู้บริโภคที่เปรียบเทียบระหว่างคุณและคู่แข่ง การเข้าใจสถานะของคู่แข่งในตลาดจะช่วยให้คุณสามารถระบุจุดแข็งที่คุณมี และจุดอ่อนที่คุณต้องแก้ไขให้ดีขึ้นนั้นเอง
ประเภทของการวิจัยการตลาด
เมื่อว่าการวิจัยการตลาดจะมีหลากหลายประเภทด้วยกัน วิธีการทั้งหมดสามารถจัดเรียงออกมาได้เป็นเพียงหนึ่งในสองของประเภท ระหว่าง ปฐมภูมิและทุติยภูมิ เท่านั้น ต่อไปนี้คือความแตกต่างในความหมายและการใช้งานระหว่างสองประเภทนี้
การวิจัยขั้นปฐมภูมิ
การวิจัยขั้นปฐมภูมิเป็นการวิจัยที่คุณเก็บข้อมูลด้วยตนเอง เป็นข้อมูลดิบที่ถูกเก็บผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบสอบถาม การสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูล การสังเกต และการสัมภาษณ์
ในอดีต แนวคิดนี้ไม่เป็นที่นิยมสำหรับแบรนด์ต่างๆ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร หรือจะต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมากนี้อย่างไร ในปัจจุบัน การกำเนิดของเทคโนโลยีหมายถึงการที่แบรนด์สามารถเข้าถึงได้ง่าย มีเครื่องมือช่วยจัดการกับปัญหาอย่างถูกจุด ด้วยเหตุนี้ แบรนด์ต่างๆเริ่มมีความเชื่อมั่นในการตั้งโปรเจ็กต์และข้อมูลของตนเอง เนื่องด้วยผลประโยชน์ของการรับข้อมูลเชิงลึกได้อย่างปัจจุบันทันด่วน
การศึกษาประเภทนี้มีข้อได้เปรียบอีกเรื่องคือ ข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลใหม่ ไม่เคยถูกใช้ และให้มุมมองที่แน่ชัดเมื่อต้องการยืนยันสมมุติฐานแก่คุณ มันยังสามารถมุ่งเน้นไปยังเป้าหมายที่คุณต้องการ ดังนั้นข้อมูลการวิจัยขั้นปฐมภูมิจึงเป็นมีคุณค่าอย่างยิ่ง
การวิจัยขั้นทุติยภูมิ
การวิจัยขั้นทุติยภูมิเป็นการนำข้อมูลที่ผ่านการจัดเก็บ วิเคราะห์ และตีพิมพ์ออกมาแล้ว (ดังนั้นมันจึงเป็นข้อมูลที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของ) มันสามารถช่วยสนับสนุนการใช้ข้อมูลจากการวิจัยปฐมภูมิ
การวิจัยประเภทนี้มีประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็ก เนื่องจากในบางครั้งมันสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า ผ่านการวิจัยของบริษัทที่ทำงานวิจัย (ไม่ว่าเครื่องมือการวิจัยขั้นปฐมภูมิกำลังเป็นที่นิยม) และเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าสำหรับธุรกิจที่มีกำลังทรัพย์น้อย
ทั้งการวิจัยขั้นปฐมภูมิและการวิจัยขั้นทุติยภูมิต่างก็มีข้อได้เปรียบของมันเอง แต่ทั้งสองจะมีประโยชน์มากที่สุดเมื่อถูกนำมาใช้คู่กัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคุณในการยืนยันสมมุติฐานของคุณ
หนังสือออนไลน์ฟรี : เทรนด์การวิจัยการตลาดโลกปี 2022
ประเภทของการวิจัยขั้นปฐมภูมิ
เมื่อคุณตัดสินใจที่จะจัดทำการวิจัยขั้นปฐมภูมิของคุณเอว คุณสามารถเก็บข้อมูลได้หลากหลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น
- แบบสอบถาม
- การสนทนากลุ่ม
- การสังเกต
- การสัมภาษณ์
ระมัดระวังอยู่เสมอว่าคุณกำลังพยายามเลือกวิธีการเก็บข้อมูลต่างๆที่คุณจะใช้งาน แต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป การสอบถามบางคนในการสอบถามประเภทตัวเลือกจะมีข้อมูลออกมาให้มากมายมากกว่าการถามแบบเจาะลึก วางจุดมุ่งหมายไว้ในการวิจัยขั้นปฐมภูมิหากต้องการแบบเชิงสำรวจหรือเฉพาะเจาะจง พร้อมทั้งแยกว่าจะต้องการการวิจัย
การสำรวจวงกว้าง หรือ ความเฉพาะเจาะจง
หากคุณไม่มั่นใจว่าคุณกำลังหาคำตอบในเรื่องใด การสำรวจวงกว้างอาจเป็นคำตอบของคุณ มันจะให้คุณได้ข้อมูลเชิงลึกในวงกว้างเกี่ยวกับลูกค้าของคุณ ผลิตภัณฑ์ของคุณ แบรนด์ของคุณ และอื่นๆ หากคุณมีคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างแน่ชัด ในกรณีนี้คุณจะใช้การวิจัยที่เฉพาะเจาะจง
- การสำรวจวงกว้าง การวิจัยนี้จะเป็นการวิจัยทั่วไปที่มีความเปิดของคำถาม และมักจะใช้การสัมภาษณ์บุคคลหรือกลุ่มคนจำนวนไม่มาก
- เฉพาะเจาะจง เป็นการวิจัยที่มีความแม่นยำ และมักถูกใช้ในการแก้ไขปัญหาที่พบจากการสำรวจ การวิจัยแบบนี้มีโครงสร้างแบบแผนที่ชัดเจน การสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการจะมีความเหมาะสม เพื่อที่จะเจาะลึกลงรายละเอียดในหัวข้อเฉพาะเรื่อง
การวิจัยขั้นปฐมภูมิแบบสำรวจมักจะถูกจัดเก็บข้อมูลโดยเน้นปริมาณ ในขณะที่การวิจัยแบบเฉพาะเจาะจงมักจะค้นข้อมูลเชิงลึกผ่านข้อมูลเชิงคุณภาพ
คุณภาพ หรือ ปริมาณ
การวิจัยเชิงคุณภาพ
การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการจัดเก็บข้อมูลโดยไม่ใช่ตัวเลข เป็นการสรุปและแปลความหมาย มากกว่าการระบุจุดตายอย่างแม่นยำ แ
วิธีการทำวิจัยที่ใช้รวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพได้แก่
- การสัมภาษณ์ (ตัวต่อตัว/โทรศัพท์)
- การสนทนากลุ่ม
- แบบสำรวจคำถามปลายเปิด
นักวิจัยใช้วิธีการเหล่านี้เพราะสามารถเพิ่มความละเอียดให้กับข้อมูลได้ ยกตัวอย่างเช่น มากกว่าคำตอบ “ไม่” ในคำถามบางข้อ คุณสามารถที่จะทำความเข้าใจเพิ่มเติมว่า ทำไมคำตอบถึงเป็น “ไม่”
การวิจัยเชิงปริมาณ
การวิจัยเชิงปริมาณเป็นการเก็บข้อมูลที่มีตัวเลขเป็นพื้นฐาน และมีการเปรียบเทียบที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับข้อมูลเชิงคุณภาพ
นักวิจัยเชิงปริมาณมักจะเริ่มด้วยสมมุติฐาน จากนั้นเก็บข้อมูลที่คาดว่าจะสามารถใช้ชี้วัด ว่าหลักฐานเชิงประจักษ์นี้สนับสนุนสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นหรือไม่
วิธีการวิจัยเชิงปริมาณได้แก่
วิธีการทำวิจัยขั้นปฐมภูมิ
มีวิธีการวิจัยมีอะไรบ้าง
- แบบสำรวจ
- การสนทนากลุ่ม
- การสังเกต
- การสัมภาษณ์
ขั้นตอนที่ 1 ระบุหัวข้อการวิจัย
วิธีการที่แบรนด์ควบคุมหัวข้อการวิจัยในบางเรื่องนั้นขึ้นอยู่กับขนาดและโครงสร้างของทีมภายในองค์กร ยกตัวอย่างเช่น ทีมการตลาดขนาดเล็กจะต้องดูแลทั้งหมด ในขณะที่องค์ขนาดใหญ่อาจจะแบ่งหัวข้อต่างๆไปให้แต่ละทีมย่อยทำ ขอบข่ายการวิจัยอาจจะเป็นหัวข้อใดก็ได้ตั้งแต่
- คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
- การเปิดตัวผลิตภัณฑ์
- เข้าใจกลุ่มเป้าหมายใหม่ (หรืออับเดทกลุ่มเป้าหมายเดิม)
- อัตลักษณ์ของแบรนด์
- แนวคิดแคมเปญการตลาด
- ประสบการณ์ลูกค้า
ขั้นตอนที่ 2 ร่างสมมุติฐานที่ต้องการคำตอบจากการวิจัยของคุณ
คุณต้องการแสวงหาสิ่งใดจากข้อมูล คำตอบที่ได้จะทำให้คุณเข้าผู้บริโภคมากขึ้นและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของคุณอย่างไร คุณต้องการข้อมูลจากประชากรศาสตร์ที่หลากหลายหรือไม่
คุณอาจจะต้องการเข้าใจแรงจูงใจของกลุ่มเป้าหมายของคุณ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรต่อคุณสมบัติใหม่ หรือพวกเขาจะใช้จ่ายไปกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้เท่าไร
ขั้นตอนที่ 3 กำหนดวิธีการวิจัยที่มีประสิทธิภาพที่สุด
หากคุณกำลังเริ่มต้น คุณอาจจะต้องการใช้วธีการที่กว้าง อาทิ การใช้แบบสำรวจ การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม เพื่อให้ได้ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ นอกจากนี้ ยังมีตัวแปรอื่นๆที่คุณต้องพิจารณา อย่างงบประมาณ และเวลาที่คุณต้องใช้ในการศึกษา
ขั้นตอนที่ 4 ออกแบบแผนในการดำเนินการวิจัย
คุณจะต้องมีคำตอบต่อคำถามเหล่านี้
- คุณมีเวลาเท่าไร
- คุณต้องการขนาดของประชากรตัวอย่างเท่าไร
- ใครคือกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ของคุณ ซึ่งคือผู้บริโภคของคุณนั่นเอง
จุดนี้เป็นจุดที่ทั่วไปจะเกิดการติดขัด การที่ไม่เคยทำการวิจัยขั้นปฐมภูมิมาก่อนจะทำให้การเริ่มต้นเป็นเรื่องที่ยาก จึงไม่น่าแปลกใจที่โดยธรรมเนียมแล้ว มันถือเป็นงานที่น่ากลัว
เครื่องมืออย่าง Qualtrics CoreXM จะทำการเก็บ วิเคราะห์ และแสดงข้อมูลเหล่านั้นให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นคุณไม่ต้องกลัวกระดาษของคุณจะว่างเปล่า
ขั้นตอนที่ 5 กำหนดวิธีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยขั้นปฐมภูมิสามารถก่อให้เกิดข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ เมื่อเป้าหมายของคุณคือการหาข้อมูลเชิงลึกที่นำมาปฏิบัติได้ มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะหาจุดเริ่มต้น หรือหาจุดที่ต้องให้ความสำคัญ
การเติบโตของแบรนด์ในการทำวิจัยการตลายและการวิเคราะห์ข้อมูลภายในบริษัท เกิดตรงกับการเติบโตของเทคโนโลยีที่ทำให้กระบวนการง่ายขึ้น เครื่องมือเหล่านี้จะนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมาจัดเรียงส่วนที่สำคัญ ที่จะช่วยให้คุณได้ตัดสินใจในส่วนที่สำคัญที่สุด
Step 6: Conduct your research! ขั้นตอนที่ 6 ทำการวิจัย!
นี้คือวิธีการที่คุณจะใช้งานวิจัยของคุณกับโปรแกรม Qualtrics CoreXM
- ก่อนการเปิดตัว เป็นขั้นตอนที่คุณต้องมั่นใจว่า การสำรวจหรือวิธีการวิจัยอื่นๆนั้น สอดคล้องกับจุดประสงค์ของโครงการ (สิ่งที่คุณต้องการจากการวิจัย)
- เริ่มเปิดตัวบางส่วน เก็บข้อมูลย่อยบางส่วนก่อนการเปิดเต็มตัว นั้นหมายความว่าคุณสามารถตรวจสอบว่าทุกอย่างทำงานได้เป็นปกติ และคุณสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ หากมีความผิดพลาดทางคุณภาพของข้อมูลที่ได้รับ
- เปิดเต็มตัว คุณได้ทำงานหนักเพื่อที่จะมาถึงจุดนี้ หากคุณใช้เครื่องมือเข้าช่วย คุณสามารถนั่งรอผลลัพท์ได้อย่างสบายใจ และถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ คุณก็สามารถจะเข้าเช็คข้อมูลในบัญชีของคุณได้ทันที
- รีวิว ทบทวนข้อมูลของคุณว่ามีปัญหาใดๆ หรือคุณภาพของคำตอบที่ไม่ดี คุณอาจจะต้องทำกำจัดปัญหาเหล่านี้ เพื่อไม่ให้มีผลต่อการวิเคราะห์ข้อมูล
ความช่วยเหลือ
หากคุณขาดทักษะ สมรรถภาพ หรือไม่สามารถจัดการการวิจัยภายในองค์กรได้ Qualtrics Research Services ช่วยคุณได้ เริ่มตั้งแต่การออกแบบ การเขียนการสำรวจที่ตอบสนองความต้องการของคุณ โปรแกรมการทำสำรวจ ไปจนถึงการจัดการรายงานผล บริการการวิจัยทำหน้าที่เหมือนส่วนเติมเต็มในทีมของคุณ เพื่อจะให้ความช่วยเหลือคุณได้ในทุกเวลา
ขั้นตอนที่ 7 พิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นว่าคุณใส่ใจในทุกความคิดเห็น
งานไม่ได้จบเพียงเท่านี้ การสำรวจ วิเคราะห์ และในขั้นนี้ คือการลงมือปฏิบัติ ข้อมูลที่เก็บมาได้นั้นบอกอะไรกับคุณ รายละเอียดเชิงลึกกับเทรนด์ใดที่จะสามารถสร้างอิทธิพลให้กับพฤติกรรมและการตัดสินใจซื้อของคุณ
จากนั้น คุณจะลงมือปฏิบัติอย่างไร
แบ่งปันข้อมูลที่ได้ภายในทีมของคุณ และจัดการให้มีการดำเนินการ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณกำลังดำเนินการตามความคิดเห็นของลูกค้าจริง และกำลังใช้ข้อมูลเหล่านี้ปรับเปลี่ยนให้เกิดผลลัพท์ทางธุรกิจ
มันอาจจะต้องใช้การวิจัยขั้นทุติยภูมิเข้ามาช่วยสนับสนุนการวิจัยขั้นปฐมภูมิของคุณ
วิธีการสรรหาและประยุกต์ใช้งานวิจัยขั้นทุติยภูมิ
งานวิจัยขั้นทุติยภูมิสามารถสรรหาได้จากหลากหลายช่องทาง ข้อมูลบางเรื่องสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในขณะที่ข้อมูลขั้นทุติยภูมิหลายๆฉบับอาจจะมีค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จเป็นหลายแสนดอลลาร์ ดังนั้นจึงสามารถแบ่งงานวิจัยขั้นทุติยภูมิได้เป็นสามประเภทตามแหล่งที่มา ดังนี้
- แหล่งข้อมูลสาธารณะ เป็นแหล่งที่ใครๆก็เข้าถึงได้ แหล่งข้อมูลสาธารณะสำหรับงานวิจัยขั้นทุติยภูมิมักถูกจัดทำขึ้นโดยหน่วยงานภาครัฐในรูปแบบของข้อมูลสำมะโนประชากร บัญชีหนังสือห้องสมุด และอื่นๆ องค์กรบางองค์กรอาจนำขึ้นเผยแพร่ฟรีหากพวกเขามีเป้าหมายในยกระดับปัญหาหรือดึงความสนใจของสาธารณชน
- แหล่งข้อมูลภายใน ในบางครั้งแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่ามากที่สุดอาจจะอยู่ภายในองค์กรของคุณแล้ว ข้อมูลภายในองค์กรอาจถือเป็นข้อมูลทุติยภูมิ หากมีค่าใช้จ่ายหรือมีความพิเศษในการหา เนื่องจากคู่แข่งไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลภายในได้ ดังนั้นให้ใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นความสามารถในการแข่งขันที่แตกต่าง
- แหล่งข้อมูลพาณิชย์ หากคุณมีทุนพร้อม ช่องทางนี้ถือเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุดในการหางานวิจัยขั้นทุติยภูมิ โดยการซื้อ องค์กรหลายๆองค์กรกำเนิดขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์เดียว คือการจัดทำวิจัยและมอบรายงานที่มีความน่าเชื่อ เจาะลึก และมีความเฉพาะเจาะจงในอุตสาหกรรม
ไม่ว่างานวิจัยของคุณจะมาจากแหล่งใด คุณควรตระหนักอยู่เสมอว่า แหล่งที่มานั้น จะต้องมีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ เพื่อที่คุณจะมั่นใจในผลลัพท์ที่คุณได้จากงานวิจัย
คุณจะรู้อย่างไรว่าแหล่งที่มานั้นเชื่อถือได้
ใช้ผู้ตีพิมพ์งานวิจัยที่มีโด่งดังและชื่อเสียง อาทิ the XM InstituteForrester และ Mckinsey เว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐก็มีการตีพิมพ์งานวิจัยสาธารณะและไม่มีค่าใช้จ่าย เมื่อคุณสามารถนำข้อมูลจากการสำรวจมาจากแหล่งที่มาที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น (ดีกว่าการนำมาจากบุคคลที่สาม) คุณจะลดความเสี่ยงในการที่ข้อมูลจะมีความผิดพลาดหรือการที่ข้อมูลเชิงลึกถูกบิดเบือน
วิธีการประยุกต์ใช้การวิจัยขั้นทุติยภูมิ
จุดประสงค์และการปรับใช้ของการวิจัยขั้นทุติยภูมินั้นแตกต่างออกไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณ ในอุดมคติ การวิจัยขั้นทุติยภูมิจะถูกใช้เพื่อสนับสนุนการวิจัยขั้นปฐมภูมิ และคุณจะสามารถยืนยันแน่ชัดในข้อสรุปที่ได้จากการวิจัยของคุณ แต่ถึงกระนั้น มันอาจมีสถานการณ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำเช่นนี้ อาทิเช่น กรอบเวลาและงบประมาณสำหรับโครงการ
การวิจัยขั้นทุติยภูมิในบางครั้งอาจจะถูกเลือกใช้มากกว่าการวิจัยขั้นปฐมภูมิ เพราะมีความเข้าใจผิดของความเป็นไปได้ในการวิจัยขั้นปฐมภูมิ โดยปกติแล้ว การวิจัยขั้นปฐมภูมิจะมีค่าใช้จ่ายสูงและทำได้ช้าเมื่อได้ผลลัพท์เพียงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี แบรนด์สามารถเข้าถึงการวิจัยขั้นปฐมภูมิได้มากกว่าที่เคย พร้อมแหล่งข้อมูลที่จะช่วยในการดำเนินงาน ถึงกระนั้นการวิจัยขั้นทุติยภูมิก็ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ต้องการเสมอไป
คุณต้องเปิดกว้างเมื่อต้องการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย เพื่อไม่ไห้เกิดอคติขึ้นกับข้อมูล จากนั้นวิเคราะห์ผลสรุปที่ได้เพื่อหาดูเทรนด์ วิธีการนี้จะช่วยให้คุณดึงข้อตกลงจากการวิจัยขั้นทุติยภูมิได้
การสื่อสารต่อการค้นพบการวิจัยการตลาด
ความสำเร็จของการวิจัยการตลาดถูกกำหนดโดยอิทธิพลที่การวิจัยนั้นมี ตระหนักไว้ว่าไม่ควรละเลยหกขั้นตอนง่ายๆดังต่อไปนี้
- น้อยคือมาก บทนำรายงานของคุณประกอบไปด้วยสรุปงานวิจัย ที่บ่งบอกสมมุติฐานที่พบและการประยุกต์ใช้
- นำเสนอสิ่งที่ผู้คนสนใจ แบ่งปันข้อแนะนำหลัก 4-5 ข้อด้วยสัญลักษณ์หัวข้อย่อย มากกว่าการบรรยายข้อมูลและการวิเคราะห์
- จำลองผลกระทบ ยกตัวอย่างและจำลองผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่คุณดำเนินการจากการค้นพบ
- ทำให้เห็นโดยไม่ต้องบอก เพิ่มภาพประกอบตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับผลการวิจัย และขยายเน้นไปเฉพาะจุดที่สำคัญ
- ความเร็วเป็นเรื่องสำคัญ ให้ข้อมูลเข้าถึงได้ในเวลาจริง เพื่อที่จะทำให้เกิดการร่วมมืออย่างรวดเร็ว และเชื่อมต่อกลยุทธ์ และดำเนินการตามคุณค่าสูงสุด
- จับมือกับผู้เชี่ยวชาญ เข้าถึงทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมทำงานช่วยคุณออกแบบและเปิดตัวโครงการอย่างสำเร็จงดงาม
หนึ่งแพลทฟอร์มสำหรับการวัยการตลาดทั้งหมด
Core XM เป็นแพลทฟอร์มการวิจัยที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นที่สุดในโลก จากความเชื่อมั่นของ 8,500 แบรนด์ ตั้งแต่การทดลองผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการวิเคราะห์คู่แข่ง คุณสามารถสร้างแบบสอบถามของคุณและดูข้อมูลในเวลาจริงที่คุณแบ่งปันให้ภายในองค์กรของคุณ นอกจากนั้น คุณยังสามารถรวบข้อมูลให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกได้ด้วย iQ โปรแกรมคาดการณ์อัจฉริยะของเรา ที่ทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดซับซ้อนได้เพียงแค่คลิ้กเดียวเท่านั้น
ค้นพบการยกระดับการวิจัยการตลาดของคุณด้วย Qualtrics ได้ที่นี่